Wallpaper

13/5/55

"9 เหตุผล ทำไมคุณไม่มีความรัก"

1. หลงใหลกับสิ่งไม่แท้จริง          ถาม ตัวเองดูนะว่าคุณละเลยความจริง ความสวยงามแท้จริง ชีวิตในด้านลึกหรือเปล่า วัน ๆ มัวแต่เสพสิ่งต่างๆ ทั้งข้าวของต่างๆ ที่เราพากันอยากได้ จนทำให้เราลืมนึกถึงเรื่องจิตใจกันไป นานเข้าก็เบื่อ เบื่อโน่นเบื่อนี่รวมทั้งเบื่อการต้องไปเดทด้วย ก็เลยทำให้คุณไม่อยากไป แล้วอย่างนี้จะมีความรักได้อย่างไรกันล่ะคะ หันกลับมาสนใจกับชีวิตในความเป็นจริงกันเถอะค่ะ

2. ไม่เข้าใจเพศตรงข้าม
          เดี๋ยวนี้เรื่องความเท่าเทียมกันของผู้หญิงผู้ชายมาแรงมาก ใคร ๆ ก็พูดกันถึงแต่เรื่องนี้ ผู้หญิงทำงานเก่งขึ้นทุกวัน  บางครั้งมันเลยทำให้เราขาดความเคารพในความแตกต่างของเพศหญิงและชายไป เรามองข้ามไปว่าหญิงและชายสามารถสร้างความรัก ความรวมกันเป็นหนึ่งได้เมื่ออยู่ด้วยกัน ความห่างระหว่างเพศสูงขึ้นเรื่อยๆ เราเลยอาจรู้สึกว่า “ฉันเจ๋งกว่าเธอ” หรือ “ผู้ชายไม่มีวันทำให้ฉันมีความสุขได้หรอก” เราก็เลยไม่เปิดรับเพศชายเข้ามาในชีวิตเสียที เอาล่ะ เรายอมรับกันได้ในส่วนหนึ่ง แต่โดยเนื้อแท้อย่าลืมว่าผู้ชายเกิดมาเพื่อปกป้องผู้หญิง ให้เขาทำหน้าที่ของเขาเถอะนะ

3. ฉันอยู่คนเดียวได้


          คุณอาจรู้สึกว่าก็ไม่เห็นจะต้องการใครในชีวิตเลย ถ้าเราต้องการใครมาให้ความรัก อยู่ข้าง ๆ เรา หรือคอยปลอบใจเรานั่นหมายถึงว่าเราเป็นผู้หญิงอ่อนแอ และมันเหมือนเป็นบัญญัติของสังคม ที่คอยบอกเราตลอดว่าผู้หญิงอ่อนแอน่ะ เป็นสิ่งไม่ดี คุณก็เลยพยายามทำตัว โอเคว่าฉันเข้มแข็ง ไม่มีใครฉันก็อยู่ได้ต่อไป แต่ในที่สุดก็รู้สึกเหงาจนได้

4. ไม่กล้าเปิดใจ
          ความไร้เดียงสาอย่างหนึ่งของคนเราก็คือ เวลาเราได้เปิดใจ เปิดเผยความรู้สึกลึกๆ กับใคร มันอาจเป็นความกลัวที่สุดที่ซ่อนอยู่ก็ได้ แต่ทุกวันนี้พวกเรากลับเลือกปิดกั้นความรู้สึกจริงๆ ตรงนั้นไว้ พยายามทำตัวปกติ และนั่นล่ะเป็นตัวทำลายวิญญาณที่แท้จริงของเราไป ก็ในเมื่อเราไม่เปิดใจก่อน แล้วใครเขาจะมาเข้าใจ เขาจะก้าวเข้าสู่ความเป็นคุณได้อย่างไรล่ะ

5. ตัดสินคนง่ายไป

          “โอ้ย! แค่สิบห้านาทีฉันก็รู้แล้วว่าหมอนี่เป็นคนยังไง” ประโยคนี้คุ้นๆ กับคุณไหม ทุกครั้งที่คุณเจอชายหนุ่มคุณจะกำลิสท์ความต้องการในตัวชายหนุ่มของคุณในมือ ไว้ตลอด และมันยังเป็นความต้องการที่ต่อรองไม่ได้ด้วยนะ เช่น เขาจะต้องเป็นผู้ชายสูง เขาจะต้องจบปริญญาโท เพียงแค่เขาไม่มีคุณสมบัติตามลิสท์คุณ คุณก็จะบอกว่า “ไม่เอาแล้ว คนนี้ไม่ใช่แน่นอน” คุณยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีมุมมองความรักเป็นยังไง เขามองโลกยังไง เขาอาจจะเป็นคนที่ดีที่สุดของคุณก็ได้ การที่เราไปตัดสินคนอย่างรวดเร็วเนี่ย ก็เหมือนคุณสร้างกำแพงให้ตัวเองนั่นแหละ มันเป็นทางที่ง่ายที่สุดและเร็วที่สุดเพื่อคุณจะได้ป้องกันได้ว่าเขาจะไม่ ตัดสินคุณไปก่อนไง คุณจะไดไม่ต้องรู้สึกแย่กับตัวเอง

6. ความสัมพันธ์ฉันต้องดีที่สุด
          คุณอาจจะมีความสุขในงานที่ทำ คุณประสบความสำเร็จในชีวิต คุณมีครอบครัวที่อบอุ่นมาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า คุณจะต้องตั้งความหวังว่าความสัมพันธ์คุณจะต้องดีมากๆ ผู้ชายคนนั้นจะต้องเพอร์เฟคสุดๆ ไปด้วย เพราะลองถามตัวเองจริงๆ คุณอาจได้คำตอบว่างานที่ฉันทำก็ไม่ได้ดีที่สุดกว่าคนอื่นตรงไหน ฉันเองก็ไม่ได้มีชีวตสมดุลไปซะทุกอย่าง และที่สำคัญฉันก็ไม่ได้เป็นผู้หญิงเพอร์เฟคที่สุดซักหน่อย เพราะฉะนั้นแทนที่เราจะมองหาแต่สิ่งที่ดีที่สุด ลองเปลี่ยนเป็นมองสิ่งที่ดีเฉยๆ ก็พอดีมั้ย และใครจะรู้ สิ่งนั้นล่ะอาจะเป็นความมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิตคุณก็ได้

7. จะมีความรักต้องพร้อม


          อีกเหตุผลหนึ่งที่คุณไม่มีความรักก็อาจเป็นเพราะว่า คุณมักรอให้ความรักเข้ามาตอนที่คุณต้องพร้อมในทุกด้านก่อน คุณต้องรอเวลาให้เรียนจบ มีอาชีพที่ดี และมีความเป็นอยู่แบบที่คุณอยากจะเป็น เหล่านี้จะมาก่อนความรักของคุณ ลองมองย้อนไปที่ความรักของพ่อแม่เราดูสิ ว่านั่นน่ะเป็นความรักที่เกิดขึ้นผิดเวลาก็ได้ ผิดสถานที่ก็ได้ ความสำคัญของการที่เราได้อยู่กับคนที่ใช่มันจะมาก่อนเหตุผลอื่นเสมอ เรื่องมีความรัก เรื่องแต่งงานเลยเป็นเรื่องไม่ยากเย็นอะไรนัก

8. ใช้หัวคิดมากกว่าหัวใจ
          ยิ่งนานวันเข้า ก็ยังไม่มีความรัก เราก็จะต้องคอยไปหาหนังสืออ่านบ้าง พยายามคุยกับผู้รู้ทั้งหลาย ยิ่งถ้าเจอเพื่อนคนไหนแต่งงานสำเร็จไป เราก็จะยิ่งเจอความคิดมากมายชวนสับสนยิ่งนัก เอ! แล้วฉันจะดำเนินการตามแผนไหนดี ความรักมันเลยกลายเป็นเรื่องของหัวคิดมากกว่าหัวใจไปซะงั้น เหตุผลต่างๆ จะมาก่อนความรู้สึกจริงๆ จากใจ ไฟรักเลยมอดหายไปได้

 9. วางแผนมากไป        

แทนที่ความรักจะเป็นเรื่องของธรรมชาติหัวใจ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ปล่อยให้หัวใจพาไป ความรักกลับกลายมาเป็นเรื่องการวางแผน คุณจะคอยมีความคิดอยู่ในหัวว่า “โอ้! อาทิตย์หน้าฉันก็สามสิบแล้ว ปีหน้าเนี่ยล่ะเหมาะที่สุดที่ฉันจะมีความรัก” หรือ “ฉันมีเวลาว่างแค่ชั่วโมงเดียวหลังจากเรียนโยคะที่จะไปออกเดท เพราะหลังจากนั้นฉันต้องไปเรียนศิลปะอีก” ความรักเลยเป็นเหมือนงานอดิเรกของคุณไป คุณเลือกจะไปเดทตอนคุณสะดวกเท่านั้น ถ้าตารางคุณยุ่งแล้วก็อย่าหวังว่าหนุ่มไหนจะแทรกเวลาของคุณมาได้แล้วกัน

"ผู้ชายดีๆแบบนี้ อาจจะอยู่ข้างๆคุณก็ได้ "

มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้ ..
และเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งฟัง
เธอเล่าเรื่องน่าเศร้าไปพร้อมกับน้ำตาของเธอ

เด็กผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ เด็กผู้หญิง ..
รับฟังเรื่องราวต่างๆ แล้วเขาก็เงียบ ..

เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ยิ่งร้องไห้มากขึ้นเรื่อยๆ .. เรื่อยๆ
จนเด็กผู้ชายพูดขึ้นมาว่า เธอจะร้องอะไรกันนักหนา ยัยบ้า
เรื่องแค่เล็กน้อยแค่นี้ เธอถึงกับต้องเสียน้ำตามากขนาดนี้เชียวเหรอ

เด็กผู้หญิงเลยพูดขึ้นว่า ..
ก็เธอน่ะมันคนใจร้าย เธอจะไปเข้าใจอะไรล่ะ
เวลาที่ฉันมีปัญหา.. เวลาที่ฉันเสียใจ ..
พอฉันบอกให้เธอฟัง เล่าให้เธอฟัง เธอกลับหาว่าฉันบ้า
เธอไม่เคยเข้าใจฉันเลย
เธอมันเป็นผู้ชายที่ไม่มีความอ่อนโยน..

ทำไมน๊ะ เวลาที่ฉันร้องไห้ .. ทำไม ..
ทำไมเธอไม่เคยคิดจะพูดปลอบใจฉันบ้าง ..
ทำไมเธอชอบว่าฉันนัก ..
หรือว่า แค่นี้ฉันยังเสียใจไม่พอ ..
ต้องให้เธอมาทำให้ฉัน ยิ่งทรุดหนักลงใช่มั้ย

เด็กผู้ชายคนนั้นได้แต่ .. นิ่งเงียบ ..
ในใจของเด็กผู้ชายคนนั้นได้แต่คิดว่า .. เธอมันยัยโง่
ในใจของเด็กผู้ชายคนนั้นมีคำถามมากมาย ..

คำถามเป็นร้อยๆ พันๆ คำถาม ที่อยากจะเอ่ยถามเด็กผู้หญิงคนนั้น
แต่เด็กผู้ชายคนนั้นก็ไม่เคยจะเอ่ยถามแม้สักคำ ..

เธอไม่เคยรู้หรอกเหรอว่า เวลาเธอน่ะร้องไห้ ฉันแทบจะเป็นบ้า
เธอไม่เคยรู้หรอกเหรอว่า .. เวลาเธอเศร้า ฉันเศร้ายิ่งกว่า
แล้วเธอไม่รู้หรอกเหรอว่า .. คนที่มันทำเธอร้องไห้ ฉันอยากจะกระทืบมันให้ตาย
นี่เธอไม่เคยรู้จริงๆ เหรอว่า .. ฉันรักเธอมากแค่ไหน

เธอไม่รู้หรือไงน๊ะยัยโง่ ว่า .. ฉันน่ะปลอบเธอไม่เป็น
ฉันรู้นะ .. ถ้า ฉันปลอบเธอ เธอจะดีขึ้น
แต่ ... ฉันก็ไม่ทำ ด้วยเหตุผลเพียงเพราะว่า ..
ฉันไม่อยากเห็นเธออ่อนแอ
ฉันอยากเห็นเธอเข้มแข็ง และลุกขึ้นมาสู้กับปัญหาด้วยตัวของเธอเอง ..

ถึงแม้ว่าเธอ .. จะมองว่าฉันเป็นคนใจร้าย .. ฉันก็ยอม
ฉันอาจจะไม่ใช่ผู้ชายที่อ่อนโยน แสนดี ..
ฉันอาจไม่ใช่คนที่เธอต้องการยามเศร้า ..
ฉันอาจไม่ใช่ .. ใครคนนั้น .. สำหรับเธอ ..

ถึงเธอจะโกรธ จะเกลียดฉัน ..
แต่อยากให้รู้ไว้นะว่า ผู้ชายที่ไม่อ่อนโยนคนนี้ก็รักเธอ

น่าเศร้าใจนัก ที่เด็กผู้หญิงคนนั้น ..
ไม่มีทางรู้เลยว่า ความไม่อ่อนโยนที่เด็กผู้ชายคนนึงมอบให้
.. กลับแฝงไปด้วยความอ่อนโยน ..
ถ้าเด็กผู้หญิงคนนั้นรู้สักนิดว่า ..
เด็กผู้ชายคนนั้นรักเค้าแค่ไหน
เรื่องนี้มันคงไม่เป็นแบบนี้

อย่ามองแค่การกระทำภายนอกของเขา
แต่ลองมองลึกถึงหัวใจ ..
แล้วคุณจะรู้ว่า ใครบางคนที่คุณ ..คิดว่า
ไม่อ่อนโยนเอาซะเลย .. เค้าคนนั้นอาจจะ ..
แฝงไปด้วยความอ่อนโยนที่เต็มเปี่ยม

จงอย่ามองด้วยตา แต่มองด้วยใจ ..
เพราะสิ่งที่ดีๆ บนโลกใบนี้ซ่อนอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะหามันเจอรึเปล่า ..



"ไม่พูด....ไม่ได้หมายความว่าไม่รัก"

"พูดไม่เก่ง" ไม่ได้หมายความว่า "พูดไม่ได้" ดังนั้น การสงวนถ้อยคำนั่นคงมีเหตุผลที่อยู่ในใจ อาจเป็นเหตุผลส่วนตัว หรือเพราะว่าเขามีบางอย่างที่เป็นทางออกที่ดีกว่า จริงอยู่ถ้อยคำหวานหู ใคร ๆ ก็นิยมชมชอบ แต่มันเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องมีความสามารถนักก็ทำได้นี่

         ดังนั้น ถ้าเขาเลือกที่จะเป็น "นักทำ" มากกว่า "นักพูด" จะไม่ดีกว่าหรือ อะไรจะสัมผัสได้มากกว่า อาจจะตอบยากนิด แต่ถ้าสัมผัสกับเนื้อในของมันจริง ๆ แล้ว ตอบแบบไม่ โกง หัวใจตัวเอง ก็จะรู้ว่าสัมผัสไหน ที่จะยืนยันความสัมพันธ์ได้ ยาวนาน กว่ากัน

                  เพศชาย หยาบ – อาจจริงอยู่
                  เพศชาย ไม่ละเอียดอ่อน – อาจจริงอยู่

         แต่ที่เอ่ยปากฝากคำหวานคำไม่เก่ง ไม่ได้เกิดจากหัวใจของเขาแห้งแล้งเสียหน่อย อาจเป็นเพราะธรรมชาติ ที่มอบสัญชาติญาณความเป็นผู้ชายมาให้มากไปหน่อย การเอ่ยอะไรที่ดูจะลื่นหูแบบนี้สักที มันก็เลยดูจะยากเย็นเสียเหลือเกิน หรืออาจเป็นเพราะหน้าที่การงาน หรือหมวกที่เขาสวมอยู่ ทำให้ถ้อยคำที่ใครสักคนอยากฟังให้ชื่นหู โอกาสที่จะเล็ดลอดผ่านไรฟัน แทบเหมือนถูกปิดประตูลงกลอน มนุษย์ทุกคนล้วนเกิดจากความต่าง และความหลากหลายมาผสมปนเปกัน ดังนั้น จะให้คนหนึ่งทำเหมือนกับอีกคน... คงเป็นไปไม่ได้

          ลายมือยังไม่มีใครเหมือนใคร ดังนั้น บรรทัดฐานใด ๆ คงจะยกขึ้นมาวัดเรื่องนี้ไม่ได้ ยิ่งเรื่องสำคัญต่อความรู้สึกแบบนี้ย่อม สไตล์ใครสไตล์มัน นักมวยยังมีหมัดเด็ด แต่คงต้องรอโอกาสให้เหมาะสักหน่อย เจ้าตัวถึงจะเลือกปล่อยหมักสำคัญนั้น จำนวนยกก็มีกำหนด เขาไม่ปล่อยให้โอกาสผ่านไป จนระฆังยกสุดท้ายตีเสียก่อนหรอก เพียงแค่รอให้มั่นใจสักนิด ว่าหมัดสำคัญที่สุดนี้ปล่อยออกไปแล้วจะเข้าจุดโฟกัสที่สุด

        นักมวยที่อ่อนประสบการณ์ มักนิยมใช้หมัดนี้อย่างสะเปะสะปะ สุดท้ายแล้วตัวเขาก็จะรู้เองว่า การขว้างหมัดอย่างไม่มีจุดหมายนั้น นอกจากเสียแรงแล้ว ยังเหนื่อยเปล่าอีกด้วย เพราะถ้าหากการเอ่ยคำหวานหูคำนี้บ่อย ๆ แล้วเข้าท่า มันคงไม่ต้องมีสัญลักษณ์แทนหัวใจ อย่างของขวัญในวันสำคัญ ของฝากจากแดนไกลยามต้องห่างไกลกัน หรือกระทั่งแหวนวงสวยในนิ้วนางข้างซ้าย ในวันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต หากคำ ๆ นั้นมี อานุภาพ พอ

        ทุกอย่างล้วนวัดด้วย "การกระทำ" มากกว่า "คำพูด" ต่างหาก เราคงเคยเห็นตัวอย่างการแสดงความรักในหลาย ๆ รูปแบบ ที่ไม่ต้องพึ่งพาประโยคใด ๆ ออกจากริมฝีปากเลยมาบ้างไม่มากก็น้อย

        ภาพคุณลุงจูงมือคุณป้า เข้าไปกินไอติมในร้านเล็ก ๆ น่ารักสักแห่ง คำพูดใด ๆ อาจไม่มีหลุดออกมาจากปากของสองผู้เฒ่าเลยก็ได้ ไม่ใช่เพราะพะวงกับของเย็นสีสวยตรงหน้า แต่หากคงไม่คำพูดใด ที่มีความหมายเท่ากับความผูกพันที่ร่วมสะสมกันมายาวนานต่างหาก

                       เพียงสายตาที่เข้าใจกันและกัน
                       เพียงเสียงช้อนกระทบแก้วไอติมขณะตัก
                       ก็คง น่าฟัง กว่าคำว่ารักครั้งไหนๆ ที่เคยพร่ำบอกกัน

        คน "ไม่พูดคำรัก" ไม่ได้หมายความว่า "รักไม่เป็น" คน พูดคำรักไม่เก่งก็ไม่ได้หมายความว่าต่มความรักทำงานผิดปกติ ถ้าการประมูลหมายถึงการให้ราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าให้เลือกระหว่าง การทำดี ต่อคนที่รักมากขึ้นเรื่อย ๆ กับการ พูดคำว่ารัก ที่ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ

    ผู้หญิงอยากจะได้แบบไหน ?

          ท้ายสุด... ถ้าไม่เข้มแข็งกับต้นรักที่ช่วยกันปลูกมา คำหวานที่ว่าแน่แค่ไหนก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ การหมั่นให้อาหารปลาก็เพราะอยากเห็นมันเติบโตและงดงาม สักวันหางปลาที่แกว่งไกว ครีบที่ว่ายแหวกสายน้ำ การพลิกตัวไปมาของมันทดแทนความสุขได้ดี แม้มันจะไม่เคยส่งเสียงมาให้ได้ยินสักครั้ง แต่เราก็เลือกที่จะให้อาหารมันต่อไป เพื่อที่จะเฝ้าดูมันเติบโตยิ่งขึ้นและงดงามมากขึ้น

    ไม่พูดว่า รัก ไม่ได้หมายความว่า ไม่รัก!!!
         ดังนั้น คงไม่ผิดถ้าหากฉันจะไม่เหมือนคนอื่นเขา โดยการเลือกทำตามอย่างที่คิดอยู่เหมือนเดิม ด้วยการชูนิ้วมือขึ้นมา และหุบนิ้วกลางกับนิ้วนางลงไปแล้วยื่นให้เธอ เพราะมันก็ความหมายเดียวกับที่เธอรอคอยอยู่ไงคนดี


"50 ข้อดีของการไม่มีแฟน"

"ข้อดีของการไม่มีแฟน"
50 ข้อนี้ คุณ ว่าจริงไหม!?

1.  มีเวลาทำอย่างอื่นนอกจากดูหนัง คุยโทรศัพท์ งอน ง้อ2.  มีเวลาอยู่กับเพื่อนมากขึ้น3.  กลับบ้านดึกก็ได้ไม่ต้องโทรรายงานใคร4.  ไม่ต้องทะเลาะกับใคร ไม่สุขมากแต่ก็ไม่ทุกข์แล้วกัน
5.  ประหยัดค่าใช้จ่าย แบบว่าไม่รู้จะไปเที่ยวไหน ไม่ต้องคอยซื้อของขวัญอะไรให้ใคร6.  ร้องเพลงคนไม่มีแฟนของพี่เบิร์ดได้อย่างสะใจ มันในอารมณ์อย่างสุดๆ7.  ไม่ต้องคอยเอาใจคนอื่น
8.  ไม่ต้องพบเพื่อนของแฟนที่เราไม่อยากรู้จัก9.  ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาแย่งแฟนเรา10.  มีคนคอยเป็นห่วงเยอะ (และคอยถามว่าทำไมไม่มีแฟน)11.  ไม่ต้องคอยหึงหวง ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นอีกเยอะ12.  ไม่ต้องห่วงว่าเค้าจะสบายดีรึเปล่า13.  มีเวลาให้ตัวเองเต็มที่14.  ไม่ต้องฟังคำว่า "อนาคตของเราและรักแท้"15.  ไม่ต้องอกหัก อันนี้สำคัญมาก
16.  ไม่ต้องกังวลว่าวันนี้จะใส่ชุดอะไรดีถึงจะถูกใจเขา17.  ไปหาเพื่อนน่ะแต่งตัวแบบไหนก้อได้18.  ไม่ต้องคอยเช็ค sms เผื่อว่าเขาส่งมาแล้วยังไม่ได้ส่งกลับ (เฮ้อออ....เปลืองอ่า)19.  อยากหิ้ว อยากจิก ใครก็ได้ไม่มีคนคอยตามประกบ20.  พ่อแม่จะรักเป็นพิเศษเพราะอยู่ติดบ้าน21.  ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเอง เพื่อเอาใจเขา
22.  ไม่ต้องรอคำสัญญาที่มันไม่เป็นความจริง
23.  ไม่ต้องคิดมาก24.  มีทางเลือกให้กับชีวิตเพิ่มขึ้น25.  ........ไม่ต้องร้องไห้.........26.  ได้ทำตามใจตัวเองอย่างเป็นสุขไม่ต้องกังวลถึงเขา27.  คิดถึงคนหลายๆ คนพร้อมกันได้
28.  คิดถึงตัวเองมากขึ้น29.  ชินกับการอยู่บ้าน เพราะไม่มีแฟนชวนเที่ยว
30.  เล่นเน็ตได้นานสะใจ จะคุยกับใครก็ได้ม่ายมีใครหวง31.  มีเวลาดูละครน้ำเน่าช่อง 7 ช่อง3 ช่อง 5 และ ITV มากขึ้น32.  เข้าถึงพระธรรมได้ง่ายขึ้น (แต่ไม่ยักกะทำ)33.  ไม่ต้องคอยโทรศัพท์
34.  ไม่ต้องเปลืองค่าโทรศัพท์โทรหา35.  จะเหล่ใครก็ไม่มีใครว่าเพราะยังไม่มีใครถูกใจ36.  ไม่ต้องคอยระแวงว่าคนที่เดินข้างๆ จะเป็นใคร
37.  จะทำอะไรก็ได้
38.  ไม่โดนเพื่อนด่าว่า "ลืมเพื่อน"39.  คิดถึงใครก็ได้ที่อยากจะคิด40.  ไม่ต้องโบ๊ะหน้าสวย, หล่อทั้งวัน41.  ไม่ต้องปกปิดด้านชั่วของตัวเอง
42.  ไม่ต้องดัดเสียงให้ไพเราะและฟังดูน่ารัก
43.  จะทำอะไรไม่ต้องเกรงใจแฟน44.  ใครจะจีบก็จีบไปเพราะเรา "ไม่มีแฟน"
45.  ร่างกายแข็งแรงเพราะเอาเวลาไปเล่นกีฬา ออกกำลังกาย46.  สามารถคุยกับสาวๆ สนใจได้โดยไม่รู้สึกผิดเพราะไม่มีแฟน47.  ไม่ต้องร้องเพลงอกหัก
48.  ประหยัดนํ้าตาไว้ร้องไห้เรื่องอื่น
49.  ไม่ต้องคอยไปรับไปส่งใคร
50.  ไม่ต้องเสียเวลาเขียนไดอารี่ตอนอกหักหรือตอนถูกทิ้ง


"อกหักให้เป็น"

หลายคนให้นิยามของความรักไว้ต่างๆ นานา เช่น “ความรักคือการให้” “ความรักเป็นสิ่งสวยงาม” “ความรักคือความซื่อสัตย์” ฯลฯ แต่หากความรักไม่ได้เป็นอย่างที่หวังไว้ ความรู้สึกผิดหวังในเรื่องความรักก็จะเกิดขึ้นและปรากฏเป็นอาการ “อกหัก” ให้เห็น ซึ่งก็มีหลากหลายคำพูดอีกเช่นกันที่พยายามสื่อให้ “คนอกหัก” ได้มีความรู้สึกที่ดีขึ้น เช่น “อกหักน่ะเรื่องเล็ก อกเล็กสิเรื่องใหญ่” บ้างก็ว่า “อกหัก ดีกว่ารักไม่เป็น” “อกหักไม่ยักกะตาย” ฯลฯ

    ดังนั้น หากคุณคิดจะรักใครซักคนจึงต้องยอมรับในเบื้องต้นก่อนว่า ครึ่งหนึ่งคือความเสี่ยงที่จะต้องอกหัก และอีกครึ่งหนึ่งคือความเป็นไปได้ที่จะมีรักที่มีความสุข เมื่อคิดจะรักก็ต้องยอมรับกับความเสี่ยงที่จะต้องลุ้น และหากเราเป็นพวกที่ต้องทนกินแห้วกระป๋อง ทำอย่างไรไม่ให้ความรักทำให้เราตาบอด ……… จึงต้อง “อกหักให้เป็น”
> อาการ “อกหัก” เป็นอย่างไร

สำหรับคนที่ไม่เคยมีความรัก หรือความรักสุขสมหวัง ก็คงจะไม่รู้จักลักษณะอาการของคำว่า “อกหัก”
    อาการที่อยู่ๆ ก็เกิดร้องไห้น้ำตาไหลพรากขึ้นมาเฉยๆ ขาดการยับยั้งต่อมน้ำตา สมองไม่สามารถสั่งการหรือใช้ในการประมวลผลเรื่องราวอะไรได้เลย นอกจากจะวนเวียนอยู่กับประโยคคำถามที่ว่า “ฉันผิดอะไร” “ทำไมเธอไปจากฉัน” “เรากลับมารักกันอีกได้ไหม”    หลับตาก็นึกถึงแต่เรื่องเขา ช่วงนี้ชีวิตจะเหมือนล่องลอยไร้วิญญาณ ไม่รู้สึกรู้สากับสถานการณ์รอบๆตัว เกิดภาวะสับสนทั้งทางด้านอารมณ์และความรู้สึก ใจหวิวๆ รู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน หายใจก็ขัดๆ ปวดท้องแต่ไม่อยากกินข้าวกินปลา ซึ่งอาการต่างๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วง “อกหัก” นี้ เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางเคมีภายในร่างกาย และจะส่งผลต่อภาวะอารมณ์ ความรู้สึก รวมถึงปฏิกิริยาของร่างกายด้วย

> ทำไม “อกหัก” จึงรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน

    การที่คนเรารู้สึกเจ็บปวดเมื่อ “อกหัก” อาจเป็นผลมาจากกระบวนการทางเคมีในร่างกาย คือ เวลาที่คนมีความรัก สมองจะหลังสารที่เรียกว่า "ฟีนิลเอธิลามีน" (Phenylethylamine) ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายยากระตุ้นประสาทอย่างแอมเฟตามีน สามารถทำให้สมองตื่นตัวและร่างกายมีกำลังมากขึ้น
    และเมื่อเกิด “อกหัก” อย่างแรง สมองและร่างกายจะสูญเสีย “ฟินิลเอธิลามีน” อย่างเฉียบพลัน ซึ่ง ดร.ไมเคิล ไลโบวิตซ์ แห่งสถาบันจิตวิทยานิวยอร์ก อธิบายไว้ว่า อาการ “อกหัก” เพราะรักเป็นพิษนั้นจะคล้ายกับอาการถอนยาอย่างมาก
    สารอีกตัวหนึ่งที่ส่งผลต่อความเจ็บปวดเมื่อคนเรา “อกหัก” ก็คือ “สารเอ็นโดฟินส์ (Endophins) โดย นพ.สุวินัย บุษราคัมวงษ์ แพทย์สาขาอายุรกรรมสมอง รพ.กล้วยน้ำไท 1 ได้เล่าประสบการณ์จากการสังเกตคนไข้สองกลุ่มที่มีอาการป่วยเดียวกัน และพบว่า คนไข้ที่มีคนรักคอยดูแลอยู่ตลอดเวลาจะมีอัตราการหายป่วยที่เร็วกว่าคนไข้ที่ไม่มีคนรักมาคอยดูแล
    อีกกรณีหนึ่ง เชื่อว่า “สารเอ็นโดฟินส์” สามารถลดความเจ็บปวดได้ โดยพบว่า ผู้ป่วยที่โดนมีดบาด หากมีคนรักมาคอยปลอบโยนร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดฟินส์ออกมา เพื่อปิดกั้นสัญญาณความเจ็บปวดที่จะส่งถึงสมอง จึงเป็นผลให้ลดความเจ็บปวดลงไปได้
    ดังนั้น เมื่อคนเรา “อกหัก” จึงเกิดการปรับเปลี่ยนของสารเคมีในร่างกายที่ไม่สมดุล ทำให้แต่ละคนมีการตอบสนองต่อปัจจัยต่างๆ แตกต่างกันออกไปซึ่งก็ขึ้นอยู่กับภูมิหลังการเลี้ยงดู วิถีชีวิตในปัจจุบัน ครอบครัว ภาวะทางสังคม หรือแม้แต่ปริมาณสารเคมีในร่างกาย จึงทำให้บางคนที่ “อกหัก” สามารถที่จะทำใจได้ในเวลาอันรวดเร็ว ขณะที่คน “อกหัก” จำนวนหนึ่งไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ จึงนำไปสู่การฆ่าตัวตาย
    ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า เมื่อคนเรา “อกหัก” และมีอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ เกิดขึ้นมานั้น ล้วนส่งผลกระทบต่อปฏิกิริยาของร่างกาย ส่วนจะส่งผลกระทบมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับภาวะการปรับตัวรับกับสภาพการ “อกหัก” ได้มากน้อยเพียงใด

> อกหักให้เป็น….ทำอย่างไร

    เมื่อ “อกหัก” หากจะห้ามไม่ให้คนเรารู้สึกรู้สากับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ให้รู้สึกเสียใจ ทุกข์ใจ เศร้า หรือสับสนทางอารมณ์และความคิด คงจะเป็นไปไม่ได้

    ดังนั้น จะทำอย่างไรให้ความสับสนทางอารมณ์และความคิดต่างๆ เหล่านั้นไม่เกินเลยจนส่งผลกระทบต่อตนเอง จึงต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะการณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้ ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นและปรับอารมณ์ ความคิดและพฤติกรรมให้เข้าสู่สภาวะปกติให้เร็วที่สุด

> วิธีปรับความคิด อารมณ์ ความรู้สึก รวมถึงพฤติกรรมต่างๆ ให้สามารถรับมือกับภาวะ “อกหัก” ให้ได้ โดยการ “อกหักให้เป็น” มีดังนี้

    1. ถ้าอยากร้องไห้ ….. จงร้องให้เต็มที่ ระบายความรู้สึกเจ็บปวดอย่างสุดแสนออกมาทางน้ำตา อย่าพยายามเก็บกดความรู้สึกเอาไว้ การร้องไห้เป็นการระบายอย่างหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้มีการปรับความสมดุลทางอารมณ์ให้กลับสู่สภาวะปกติหรือใกล้เคียงปกติมากที่สุด

    2. เสียใจได้…..แต่อย่าให้เสียคน การเสียใจทำให้เราได้รู้ว่า อย่างน้อยเราก็มีหัวใจไว้รักไว้เจ็บ มีความทุกข์ความสุขได้เหมือนคนอื่น ต้องรู้จักควบคุม รู้จักความพอดี อย่าคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่าและอย่าคิดทำร้ายตัวเอง อย่าลืมว่าเรายังมีพ่อแม่ที่รักเรามากที่สุด และเป็นความรักที่ยั่งยืนที่สุดด้วย แล้วคิดเสียว่าก่อนจะมีใครคนนั้นเราสามารถมีชีวิตอยู่มาได้ และเมื่อเขาไปเราก็ต้องอยู่ต่อไปได้เช่นกัน

    3. อย่าแบกทุกข์ตามลำพัง กลับไปหา “พ่อแม่” ดีที่สุด พูดคุยกับท่าน ระบายความรู้สึกที่อัดอั้นและเจ็บปวดแสนสาหัสให้ท่านฟัง แล้วเราจะได้รับกำลังใจอันมีค่าที่สุดจากท่าน หรืออาจใช้วิธีเขียนความรู้สึกลงในกระดาษ ซึ่งจะช่วยให้เราเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

    4. ปฏิวัติตัวเองเสียใหม่ พยายามปรับปรุงตัวเองในภาพลักษณ์ใหม่ที่ไฉไลและดูดีกว่าเดิม อย่าปล่อยให้ตัวเองหน้าโทรม ผมเผ้ารุงรัง ตาปูด ผอมโซ อย่าให้ชีวิตรักที่ไม่สมหวังมาทำให้ตัวเองต้องจมจ่อมอยู่กับความทุกข์ตลอดเวลา

    5. หันเหความสนใจไปทำกิจกรรมอื่นๆ อย่าเก็บตัว แรกๆ อาจจะต้องฝืนความรู้สึกอยู่บ้าง แต่ถ้าได้ลงมือปฏิบัติแล้ว อารมณ์และความรู้สึกต่างๆ จะดีขึ้น เช่น เล่นกีฬา ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ เป็นต้น

    6. ให้คิดเสียว่าประสบการณ์ “อกหัก” เป็นประโยชน์ต่อชีวิต เพราะมันจะเป็นเหมือนสะพานอีกขั้นหนึ่งให้เราได้ก้าวไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ให้เราได้ใช้ชีวิตอีกระดับหนึ่ง และกำไรที่เหลืออยู่จากประสบการณ์ “อกหัก” ก็คือ ได้เรียนรู้ว่ารักเป็นอย่างไร ถ้าไม่สุขจนล้นมาเสียก่อนจากการได้รักและถูกรัก แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ็บเจียนตาย นอนน้ำตาไหลพรากเป็นท่อน้ำประปาแตกนั้นมันทุกข์แค่ไหน

    แม้ความรักที่ไม่สมหวังทำให้ต้องสูญเสียความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้แก่กันไปมากน้อยแค่ไหน หรือแม้กระทั่งทำลายความเป็นตัวของตัวเองให้ลดน้อยไปมากเพียงใดก็ตาม แต่หากเราได้เรียนรู้เพื่อที่จะ “อกหักให้เป็น” ความรักที่ไม่สดใสอาจกลายเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เรามองเห็นโลกที่กว้างใหญ่และสวยงามขึ้นกว่าเดิมก็เป็นได้


… อาจดูว่ามันอ้างว้าง แต่ว่าทางที่เดินก็กว้างพอ … ไม่ต้องรอไปแบ่งกับใคร

...



12/5/55

"แอบรัก"



ฉันชอบความรู้สึกของการได้ "แอบรัก" ใครซักคน

หนึ่งชีวิตของคนเราถ้าได้รู้สึกถึง... "ความรักแบบไม่ครอบครอง" บ้าง

ก็คงจะดีไม่น้อย โลกคงไม่วุ่นวายไม่ยื้อแย่งไม่ครอบครอง

และความรักก็คงจะไม่ "เห็นแก่ตัว" อย่างที่ดำเนินอยู่

ขึ้นชื่อว่า "แอบรัก" แล้วล่ะก็...

ฉันเชื่อว่ามันไม่ใช่อาการที่ต้องการจะเปิดเผยตัวไม่อยากให้ใครได้รู้ได้เห็น

ความสุขเกิดขึ้นได้ในมุมเงียบๆและปราศจากการครอบครอง

ความรักแบบเงียบกริบสอนให้คนปล่อยวาง และหัวใจอ่อนโยน

ไม่ปรารถนาอะไรมากไปกว่าการได้รัก

และมากที่สุดก็คงจะเป็นแค่ให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่า

..."รัก"

เท่านั้นเองที่ความรักต้องการ...

คงเหมือนกับไม่ขีดไฟแอบหลงรักดอกทานตะวัน

สุดท้ายมันก็ต้องการแค่เพียงแค่ให้ดอกทานตะวันหันมองแสงอันน้อยนิดของมัน...

แม้จะเป็นแสงสุดท้ายที่ถูกจุดขึ้นเพื่อดับลงตลอดกาลก็ตาม

เชื่อไหม???...

ฉันเคยรู้จักคนๆนึงที่แอบรักใครอีกคนได้นานเป็นปีๆ

โดยไม่เคยแสดงตัวต่อความรักของเขา

หญิงสาวใช้โทรศัพท์เป็นสื่อแสดงความรู้สึกตลอดมา

ทุกคืน...เธอจะยกหูโทรหาเขา แม้บางครั้งด้วยคำพูดสั้นๆแค่ว่า

"นอนหลับฝันดี" เท่านั้นก็ตาม

ชายหนุ่มไม่เคยเห็นหน้าเธอ

ทั้งที่ความเป็นจริงนั้นเธออยู่รอบตัวเค้าตลอดเวลา

...เธอเคยเดินผ่านเขาใกล้กันแค่เอื้อมมือคว้า

แต่เขาไม่รู้จักเธอ...

...เธอเคยสบตาเขาแต่เขาไม่เห็นแววตาเธอ...

...เธอเคยยืนตรงหน้าเขาแล้ว(แอบ) ฟังเขาพูดคุยกับเพื่อนของเขา

แต่เค้าไม่ได้พูดกับเธอ...

ทั้งหมดเป็นความสุขของหญิงสาว...

"สุขที่ได้เห็นเขาโดยที่เขาไม่จำเป็นจะต้องเห็นเธอ"

การติดต่อของเค้าและเธอสิ้นสุดลง

ในวันที่ชายหนุ่มมีคนรักที่แสดงตัวอย่างชัดเจน

เค้าเลือกที่จะรักคนอื่นเพราะในความคิดของเค้า

...หญิงสาวไม่มีตัวตน...

หญิงสาวห่างออกมาไม่อนุญาตให้ตัวเองเข้าใกล้เค้าอีก

เธอคำนึงถึงความถูกต้องและ...ทุกอย่างย่อมมีเจ้าของเมื่อถึงเวลา

...ความรักของเธอบริสุทธิ์เกินกว่าจะทำร้ายใคร...

ในเมื่อชายหนุ่มเลือกที่ปักดอกไม้อื่นลงบนแจกันของเค้า

ต่อให้เธอสวยงามกว่าดอกไม้ดอกนั้นเพียงใดเธอก็ไม่อาจแสดงตัวได้...

แต่เธออนุญาตหัวใจให้รักเค้าได้เท่าเดิมและคงจะไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้

เพราะ "รักแท้" สอนให้เธอมีความสุขได้

แม้ "ไม่ได้เป็นเจ้าของ" หรือ "ถูกครอบครอง"

และ "รักแท้" นี่เองที่จะทำให้ดอกไม้อย่างเธอไม่มีวันแห้งเหี่ยว

"แม้ว่าเธอจะเป็นดอกไม้ไร้ชื่อ...ที่ไร้แจกันตลอดไป...ก็ตาม"



++อยากสวยต้องใช้โปรแกรมแต่งรูป++


ดาวโหลดโปรแกรม
XiuXiu_360Setup_3.0.7    คลิกที่นี้

ดาวโหลดโปรแกรม
Photoscape 3.6.2     คลิกที่นี้