Wallpaper

2/10/55

"คุณค่าแห่งลมพัดหวน"

อากาศเย็นกำลังดี และ ลมก็พัดไม่ค่อยแรงเท่าไร แต่ถึงกระนั้นเอง ดอกปีบก็ยังคงล่วงหล่นไม่หยุดหย่อน
ฉันเดินผ่านลมเย็น พื้นหญ้าสีเขียว ปลายของมันอมความชื้นน้อยๆ เป็นเม็ดน้ำเล็กๆ ในร่มเงาไหวของต้นปีบ ลมพัดหนึ่งที
เงาของกิ่งไม้ก็เคลื่อนที่ไปมา น่ารักเหมือนเด็กส่ายหัว แต่ นั่นไม่ใช่เพราะว่ามันงงงวย แต่อาจเพราะรับฟังสุ้มเสียงเรียงร้องจากธรรมชาติจนรู้สึกบันเทิงใจ

ผิวน้ำตีลอนกระเซ้าแซะตามชายฝั่งดัง จ๋อมแจ๋ม แมกไม้เบียดสีข้างกันไปมาดังเอียดอาด ใบไม้น้อยใหญ่ ใบเรียวยาวหรือเป็นเม็ดละเอียดยิบ
พรมเสียงดังซี ๆ เหมือนเด็กทารกระดมปรมมือโดยพร้อมเพรียง

เสียงของธรรมชาติสะอาด และกลิ่นดอกปีบก็หอมชื่นใจ ฉันเลยเก็บไว้หลายดอก ร้อยรัดมัดไว้เป็นช่อ กลิ่นที่หอมจางก็พลันชัดขึ้น
ฉันเดินถือช่อดอกปีบไปตามทาง กลิ่นของมันก็ยังหอมไม่หยุดหย่อน

บางครั้งก็พักนอนไปกับเปลือกไม้ มันดูแห้งแล้งเพราะมันไม่มีความสดภายในแล้ว มันเป็นเปลือกไม้แห้ง ที่มีเพียงความชื่นห่มไว้รอบด้าน
ใช้มือจับเบาๆเนื้อก็เปือยติดนิ้วมา เมื่อโดนแดดเผานานเข้าก็เริ่มแตกแยกจากกัน ชื้นมากไปก็เปือยป่น แห้งร้อนเกินไปก็แตกระแหง

ช่อดอกปีบก็เริ่มช้ำแล้วเหมือนกัน กลิ่นของมันแม้จะหอม แต่กลีบของมันก็ช้ำเหลือเกิน ฉันไม่น่าจับมันมัดไว้รวมกันเลย มันคงอึดอัดเต็มที

ฉันคิดดังนั้นจึงแก้มัดเจ้าดอกปีบออกจากกัน เดินไปตามทางเดินสีเขียวชื้น และวางดอกปีบทีละดอก ที่ละดอกตามพื้น ตามหิน ตามกิ่งไม้
 ดอกปีบหอมกระจายไปทั่ว แม้มันจะหอมเพียงจางเบา แต่มันก็สามารถส่งความหอมไปได้ไกลเท่าที่ลมจะพัดพาไป

จริงหรือไม่ว่า ความหอมมิใช่จำเป็นต้องหอมให้มากมาย แต่ความหอมที่ขจรไกลแสนไกล ยังเป็นสิ่งที่ควรเดินทางไปเรื่อย ๆ

เพื่อให้ใครหลายคนได้ชื่นใจ  เพื่อไปทำหน้าที่อันเบาบาง  รวมรัดไว้แน่นเกินไปอาจเจ็บช้ำ และความหอมก็ไปไม่ถึงไหน

ดอกปีบถูกวางไว้ทีละดอก ความหอมค่อยๆ จางลงที่ละน้อย

ฉันเดินผ่านไปในความเขียวชื้น และ หอมเจือจาง

ใครจะรู้ได้เล่า ว่า หอมดอกไม้และสายลมอาจเป็นคนรักกัน : )



ความผูกพัน..ในรัก..ของ..คนสองคน
ทำให้เราลืม..บางสิ่ง..บางอย่าง..
กับ..บางคน..ได้ยาก
ซึ่งความผูกพัน ในวันวาน..ที่หวาน..ปนขม
มักมีความสวยงาม..ซ่อนอยู่..เสมอ
และ..สิ่งที่สวยงาม..สิ่งนั้น
คือ..ความผูกพัน..ที่ยากจะ..ลบเลือน
ได้ในเร็ว..วัน..ของ..หัวใจ

คนบางคน..แพ้ให้กับ วัน และ..เวลา
แต่กับอีกคน..ก็ยังคง..เหมือนเดิม..ทุกอย่าง
คนบางคน..ตัดบัว..ไม่..เหลือใย
และ เริ่มต้นใหม่ กับใครก็ได้..เสมอ
แต่กับอีกคน..ใจที่ไม่อาจ..เปลี่ยนรัก
ในรักที่มีการ..เปลี่ยนแปลง
ยังจำคำรัก..ทุกถ้อยคำ..ตลอดเวลา
คนบางคน..เมื่อตอนจะไป..ทำตัวเหมือน..ทะเลทราย
เติมรักเท่าไร..เติมใจแค่ไหน..ก็จืดจาง
แต่กับอีกคน..ก็ยังพยายาม เพราะ..รักหมดใจ

และ..เมื่อทุกอย่างมาถึง..ลิมิตของหัวใจ
เพราะ..เกินรั้งไว้ อีกคนก็ต้อง..ทำใจ
เพราะ..สุดปลายคว้า ก็คง..ปล่อยมือ..จริงๆ

เหตุผล..ของคนๆหนึ่ง..ที่จากเราไปนั้น..ไม่สำคัญ
หากแต่ ความทรงจำที่เขาทิ้ง..เอาไว้นั้น
มีค่าพอไหมที่..จะ..หวนคืน

++++++++++++++++++++++++++++++++++





ความรัก ความฝัน กับ ความจริง ในบางครั้งก็เป็นเหมือนดั่งเส้นขนานด้วยตัวของมันเอง ยากยิ่งนักที่จะทำให้ทั้งสามสิ่งมารวมกันในที่ๆเดียวกันของหัวใจ เพราะท้ายที่สุดก็ต้อง ถูกความจริงทำลายลงสักวันด้วย..ตัวของมันเองความรักก็อาจจะมา ..ในวันที่ผิด และ ในเวลา..ที่ไม่ใช่
ความฝันอาจจะ..ทำให้สุขใจที่มีมัน แต่อาจจะกลายเป็นความปวดร้าว..ในความจริง
และความจริงก็ไม่อาจจะ..อยู่ร่วมกับ ความรัก ความฝัน ที่ไม่มีทาง..เป็นจริง
ซึ่งม่านหมอก รัตติกาล คือความเหงา ความอ้างว้าง เดียวดาย รอคอย เติมเต็มในความรัก ของใครหลายๆคน ที่ไม่สามารถก่อเกิดภาพและมีตัวตน ในโลกแห่ง..ความเป็นจริงได้

ในยามค่ำคืน ที่มีม่านหมอกบางๆ แต่แฝงไปด้วยความอ้างว้าง อย่างหาที่สุด มองไม่เห็นทางข้างหน้ามีเพียงแค่ แสงสลัวๆในความหนาวเย็น มีเพียงเงาแห่งความมืดมิดของรัตติกาลเป็นเพื่อนเคียงใจ

ม่านหมอก มองดูแล้วเหมือน อ้างว้าง เงียบเหงา และ สวยงาม มีทั้งสองมุมในความรู้สึกเดียวกัน
อาจจะเป็นที่ความรัก ไม่สามารถเลือกเกิดกับหัวใจได้ ในเวลาดั่งที่ใจ..ต้องการ
ซึ่งในบางครั้งเจ้าของหัวใจก็พอจะรู้ว่า คำตอบที่ปลายทางจะจบลง..เช่นไร
แต่เมื่อความรัก อยู่เหนือเหตุและผล ก็ยินยอมพร้อมใจที่จะ เจ็บปวดอยู่อย่างนั้น ด้วยความ..เต็มใจ
ความจริง เป็นอย่างไร...ไม่รู้จัก
ต้องเรียกหา ความรัก...สักกี่หน
เดินบนทาง ว่างเปล่า...เหงาเกินทน
ทุกข์เหลือล้น ทรมาน...นานเพียงเท่าไร
แม้รู้สึก อ้างว้าง...ในบางครั้ง
แม้จะเดินอยู่ คนเดียว...เปลี่ยวใจเหงา
แม้จะอยู่เดียวดาย..เกินทุเลา
แม้สุดท้ายสิ้นสุด..เขา
เหลือแค่เรา เพียง..ผู้เดียว
ซึ่งในหัวใจรัก กลับรู้สึก อบอุ่นอย่าง..ประหลาด
ทั้งๆที่อยู่คนเดียว ท่ามกลาง ความเดียวดาย หมอกที่หนาว และ ราตรีกาลที่..มืดมิด
คงมีเพียงแค่แสงเล็กๆ เพียงสิ่งเดียวที่ให้พอจะให้เห็นหนทาง..ข้างหน้า
แม้จะไม่ค่อยอบอุ่น แต่แสงจากตะเกียงในความรักที่ไม่มีทางเป็นจริง นั้น คือความอบอุ่นเดียว
ความหวังเดียว ที่ยังพอมีตัวตนและ..จับต้องได้
ซึ่งตะเกียงเอง ก็คงมองเห็นค่าความรัก ในม่านหมอก รัตติกาล เช่นกัน

ไม่ว่าจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงไร อย่าปล่อยตะเกียงทิ้งไว้โดยด็ดขาด จงนำมันติดตัวไป..ตลอดเวลา
ติดไปจนกว่าหน้าที่ของตะเกียง จะหมดลงจนรุ่งสาง และเป็นหน้าที่ของแสงแห่งดวงอาทิตย์..ในความจริง

แต่เมื่อยามใด ที่ถึงเวลาของ ม่านหมอก รัตติกาล มาเยือน เจ้าตะเกียงแห่งความฝันจะกลับมาร่าเริงอีกครั้ง และทำหน้าที่ของมัน อย่างเต็มใจกับความรักที่มันมี อย่างสมบูรณ์ จนสุดปลายทาง...ในความฝัน
?เรื่องที่เศร้าที่สุดของความรัก ไม่ใช่เขาไม่รักเรา หากแต่เราและเขาไม่สามารถ..รักกันได้?


++++++++++++++++



ไม่มีความคิดเห็น: